Q&A ถาม-ตอบ

ย้อนรอยมหาอุทกภัย 2554 เจาะลึกสาเหตุทำไมกรุงเทพฯ ถึงจมน้ำ

Quote

ย้อนรอยมหาอุทกภัย 2554 เจาะลึกสาเหตุทำไมกรุงเทพฯ ถึงจมน้ำ

ย้อนรอย มหาอุทกภัย ปี 2554 เศรษฐกิจไทยเสียหายแค่ไหน?

สำหรับคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปีพุทธศักราช 2554 คือปีที่ถูกจารึกไว้ในความทรงจำในฐานะ “มหาอุทกภัย” ครั้งประวัติศาสตร์ ภาพของมวลน้ำมหาศาลที่ค่อยๆ ไหลบ่าเข้าท่วมบ้านเรือน, ถนน, และพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ สร้างความเสียหายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้เวลาจะผ่านมานานกว่าทศวรรษ (ข้อมูล ณ ต.ค. 2025) แต่คำถามที่หลายคนยังคงสงสัยคือ อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่หลวงขนาดนั้น? การทำความเข้าใจปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น จะเป็นบทเรียนสำคัญในการเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต

 

เมื่อพายุหลายลูกถาโถม

จุดเริ่มต้นของมหาอุทกภัยครั้งนั้นมาจากปริมาณน้ำฝนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอย่างมหาศาล ตลอดปี 2554 ประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับอิทธิพลของพายุหมุนเขตร้อนถึง 5 ลูกที่พัดผ่านเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพายุไต้ฝุ่น “นกเตน” ที่ทำให้เกิดฝนตกหนักเป็นประวัติการณ์ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้มีปริมาณน้ำสะสมในพื้นที่ต้นน้ำของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามากกว่าปกติหลายเท่าตัว

 

การบริหารจัดการน้ำในเขื่อน

ในช่วงต้นฤดูฝน เขื่อนหลักของประเทศอย่างเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์มีการกักเก็บน้ำไว้ในปริมาณสูงเพื่อสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้ง แต่เมื่อต้องเผชิญกับพายุที่เข้ามาติดต่อกันและปริมาณฝนที่ตกเหนือเขื่อนอย่างหนักหน่วง ทำให้เขื่อนต้องรับน้ำเข้าไปในปริมาณที่มากเกินกว่าความจุจะรองรับไหว จนถึงจุดที่จำเป็นต้องเร่งระบายน้ำออกจากเขื่อนพร้อมๆ กันในปริมาณมหาศาล ซึ่งมวลน้ำก้อนใหญ่นี้ได้ไหลบ่าลงมาสมทบกับปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ภาคกลาง

 

ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของกรุงเทพฯ

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือลักษณะทางกายภาพของกรุงเทพมหานครเอง ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ราบลุ่มสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยา มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยเพียง 1.5 เมตร ทำให้เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำตามธรรมชาติที่เสี่ยงต่อน้ำท่วมอยู่แล้ว นอกจากนี้ ปัญหา “แผ่นดินทรุด” ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการสูบน้ำบาดาลและการขยายตัวของเมือง ยิ่งทำให้พื้นที่กรุงเทพฯ ต่ำลงและระบายน้ำได้ยากขึ้น

 

ตอนน้ำท่วมใหญ่มากปี 2554 ตอนนั้นคุณอยู่จังหวัดอะไร ได้รับผมกระทบไหมครับ? -  Pantip

 

ปัจจัยในเมืองที่ซ้ำเติมสถานการณ์

เมื่อมวลน้ำก้อนมหึมาจากทางเหนือเดินทางมาถึงเขตปริมณฑลและกรุงเทพฯ ก็ต้องมาเจอกับปัจจัยภายในเมืองที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก

  • การขยายตัวของเมือง (Urban Sprawl): การเติบโตของเมืองทำให้พื้นที่สีเขียวที่เคยเป็นเหมือน “ฟองน้ำ” ตามธรรมชาติคอยซับน้ำลดน้อยลง พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกแทนที่ด้วยถนนคอนกรีต, อาคาร, และหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งเป็นพื้นผิวทึบน้ำ ทำให้น้ำไม่สามารถซึมลงดินได้และต้องไหลบ่าไปตามพื้นผิวทั้งหมด
  • ระบบระบายน้ำที่รับไม่ไหว: คูคลองและอุโมงค์ระบายน้ำที่มีอยู่เดิม ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับปริมาณน้ำที่มากผิดปกติในระดับภัยพิบัติ

 

"ขยะอุดตันท่อ" ปัญหาใต้ฝาท่อระบายน้ำ

หนึ่งในปัญหาคอขวดที่สำคัญที่เกิดขึ้นในระดับเส้นเลือดฝอยของเมืองคือประสิทธิภาพของระบบท่อระบายน้ำ ปัญหาขยะที่สะสมและอุดตันท่อ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้ ฝาท่อระบายน้ำ ในทุกตรอกซอกซอยทั่วกรุงเทพฯ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้การระบายน้ำจากผิวถนนลงสู่สถานีสูบน้ำเป็นไปได้ช้าลงอย่างมาก เมื่อท่อระบายน้ำไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ น้ำจึงเอ่อล้นและท่วมขังอยู่บนถนนเป็นเวลานาน

 

บทเรียนจากปี 2554 สู่การป้องกันในปัจจุบัน

หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัย ได้มีการดำเนินโครงการป้องกันน้ำท่วมขนาดใหญ่มากมาย เช่น การสร้างแนวป้องกันริมแม่น้ำ, การขุดลอกคูคลอง, และการสร้างธนาคารน้ำใต้ดิน (แก้มลิงใต้ดิน) แต่บทเรียนสำคัญที่ทุกคนช่วยกันได้คือการรักษาความสะอาดของทางระบายน้ำ การไม่ทิ้งขยะลงบนถนนหรือในคูคลองจะช่วยให้ระบบระบายน้ำทำงานได้เต็มศักยภาพ นอกจากนี้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเมือง เช่น การออกแบบ ฝาท่อระบายน้ำ รุ่นใหม่ๆ ที่ช่วยดักขยะได้ดีขึ้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเมืองที่พร้อมรับมือกับความท้าทายของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป