เขาว่า AI กำลังมาแรง... อาชีพสายไอทีมีสิทธิ์ตกงานไหมในยุค 2025?
Quote from Guest on , 3 ตุลาคม 2025, 12:12 น.เขาว่า AI กำลังมาแรง... อาชีพสายไอทีมีสิทธิ์ตกงานไหมในยุค 2025?
กระแสความตื่นตัวเรื่องปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ Generative AI ที่สามารถสร้างสรรค์ได้ทั้งโค้ด, รูปภาพ, และบทความ ได้สร้างทั้งความตื่นเต้นและในขณะเดียวกันก็สร้างความกังวลให้กับคนในหลากหลายวงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “สายงานไอที” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใกล้ชิดกับเทคโนโลยีนี้มากที่สุด คำถามสำคัญที่ดังก้องอยู่ในใจของหลายคนคือ “แล้วอาชีพไอทีของเราจะถูก AI แย่งงานไปหรือไม่?”
AI ไม่ได้มา "แทนที่" แต่มา "เปลี่ยนแปลง"
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า AI ในปัจจุบันมีสถานะเป็น “เครื่องมือ” ที่ทรงพลัง ไม่ใช่ “ผู้ปฏิบัติงาน” ที่มีความคิดสร้างสรรค์หรือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้เทียบเท่ามนุษย์ ดังนั้น ผลกระทบของ AI ต่อสายงานไอทีจึงไม่ใช่การ “แทนที่” ตำแหน่งงานทั้งหมด แต่เป็นการ “เปลี่ยนแปลง” ลักษณะการทำงาน ทำให้ทักษะบางอย่างมีความสำคัญลดลง ในขณะที่ทักษะใหม่ๆ กลายเป็นที่ต้องการมากขึ้น
อาชีพไอทีกลุ่มไหนที่ "ต้องปรับตัว" มากที่สุด
งานที่มีลักษณะเป็นกิจวัตรซ้ำๆ, สามารถกำหนดขั้นตอนได้ชัดเจน, หรือเน้นการจัดการข้อมูลปริมาณมาก คือกลุ่มแรกที่จะได้รับผลกระทบจากการเข้ามาของ AI
- งานโค้ดดิ้งพื้นฐาน (Basic Coding): AI สามารถเขียนโค้ดในฟังก์ชันพื้นฐาน, สร้าง Boilerplate Code, หรือแปลงโค้ดจากภาษาหนึ่งไปอีกภาษาหนึ่งได้ ทำให้นักพัฒนาต้องยกระดับตัวเองไปทำงานที่ซับซ้อนกว่า เช่น การออกแบบสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์ (Software Architecture)
- การทดสอบซอฟต์แวร์ (Software Testing): AI สามารถสร้างและรันชุดทดสอบ (Test Scripts) เพื่อหาบั๊กเบื้องต้นได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ Tester ต้องหันไปเน้นการทดสอบที่ซับซ้อน เช่น Usability Testing หรือ Security Testing
- ผู้ดูแลระบบระดับเบื้องต้น (Entry-level System Admin): งานเฝ้าระวังระบบ (Monitoring), การแจ้งเตือนเมื่อเกิดปัญหา, หรือการสำรองข้อมูลพื้นฐาน เป็นสิ่งที่ AI สามารถทำได้ดีและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
- เจ้าหน้าที่สนับสนุนด้านเทคนิค (Technical Support L1): การตอบคำถามที่พบบ่อย (FAQ) หรือการแก้ปัญหาเบื้องต้น สามารถใช้ Chatbot ที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาช่วยจัดการได้
อาชีพไอทีที่ยังคง "เป็นที่ต้องการสูง"
ในทางกลับกัน AI ได้สร้างความต้องการในตำแหน่งงานใหม่ๆ และทำให้ตำแหน่งงานที่ต้องใช้ทักษะขั้นสูงมีความสำคัญยิ่งขึ้น
- วิศวกร AI/ML (AI/ML Engineer): คือกลุ่มคนที่สร้างและฝึกฝนโมเดล AI โดยตรง ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงอย่างมาก
- นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist): แม้ AI จะช่วยประมวลผลข้อมูลได้ แต่การตั้งคำถามที่ถูกต้อง, การตีความผลลัพธ์, และการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเพื่อการตัดสินใจทางธุรกิจ ยังคงต้องอาศัยมนุษย์
- ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Specialist): ใช้ AI เป็นเครื่องมือในการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามรูปแบบใหม่ๆ ที่ซับซ้อน
- สถาปนิกโซลูชัน (Solution Architect): ผู้ออกแบบระบบภาพรวมที่ต้องใช้ความเข้าใจทั้งด้านเทคโนโลยีและธุรกิจ ซึ่งเป็นทักษะที่ AI ยังทำไม่ได้
จากผู้กังวลสู่ผู้ประกอบการ: เปลี่ยนวิกฤต AI ให้เป็นโอกาส
แทนที่จะมอง AI ในฐานะคู่แข่ง ลองเปลี่ยนมุมมองและมองมันในฐานะ “คู่หู” ที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างธุรกิจของตัวเอง AI ได้ลดกำแพงในการสร้างธุรกิจเทคโนโลยีลงอย่างมาก ปัจจุบันคนคนเดียวก็สามารถสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีความซับซ้อนได้ด้วยการใช้เครื่องมือ AI ช่วยในการเขียนโค้ด, ออกแบบโลโก้, และทำการตลาด
ก้าวแรกสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจเทคโนโลยี
เมื่อคุณมีไอเดียธุรกิจที่ยอดเยี่ยมซึ่งมี AI เป็นแกนหลักแล้ว ก้าวแรกที่สำคัญที่สุดที่จะเปลี่ยนไอเดียของคุณให้กลายเป็นธุรกิจที่แท้จริงและน่าเชื่อถือ คือการสร้างตัวตนทางกฎหมาย บริการ รับเปิดบริษัทใหม่ คือเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณทำสิ่งนั้นได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง
ทำไมการเปิดบริษัทจึงสำคัญต่อธุรกิจ AI Startup
- สร้างความน่าเชื่อถือ: การมีสถานะเป็น “บริษัทจำกัด” ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า, คู่ค้า, และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “นักลงทุน”
- ปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา: โมเดล AI หรืออัลกอริทึมที่คุณพัฒนาขึ้น ถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีค่า การจดทะเบียนบริษัทจะช่วยปกป้องสิทธิ์เหล่านี้ได้ดีกว่า
- เตรียมพร้อมสำหรับการระดมทุน: นักลงทุนจะลงทุนในนิติบุคคลเท่านั้น
- ลดความยุ่งยาก: การใช้บริการ รับเปิดบริษัทใหม่ จากผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยจัดการงานเอกสารที่ซับซ้อนทั้งหมด ทำให้คุณสามารถประหยัดเวลาและทุ่มเทสมาธิไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI ของคุณได้อย่างเต็มที่
เขาว่า AI กำลังมาแรง... อาชีพสายไอทีมีสิทธิ์ตกงานไหมในยุค 2025?
กระแสความตื่นตัวเรื่องปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ Generative AI ที่สามารถสร้างสรรค์ได้ทั้งโค้ด, รูปภาพ, และบทความ ได้สร้างทั้งความตื่นเต้นและในขณะเดียวกันก็สร้างความกังวลให้กับคนในหลากหลายวงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “สายงานไอที” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใกล้ชิดกับเทคโนโลยีนี้มากที่สุด คำถามสำคัญที่ดังก้องอยู่ในใจของหลายคนคือ “แล้วอาชีพไอทีของเราจะถูก AI แย่งงานไปหรือไม่?”
AI ไม่ได้มา "แทนที่" แต่มา "เปลี่ยนแปลง"
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า AI ในปัจจุบันมีสถานะเป็น “เครื่องมือ” ที่ทรงพลัง ไม่ใช่ “ผู้ปฏิบัติงาน” ที่มีความคิดสร้างสรรค์หรือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้เทียบเท่ามนุษย์ ดังนั้น ผลกระทบของ AI ต่อสายงานไอทีจึงไม่ใช่การ “แทนที่” ตำแหน่งงานทั้งหมด แต่เป็นการ “เปลี่ยนแปลง” ลักษณะการทำงาน ทำให้ทักษะบางอย่างมีความสำคัญลดลง ในขณะที่ทักษะใหม่ๆ กลายเป็นที่ต้องการมากขึ้น
อาชีพไอทีกลุ่มไหนที่ "ต้องปรับตัว" มากที่สุด
งานที่มีลักษณะเป็นกิจวัตรซ้ำๆ, สามารถกำหนดขั้นตอนได้ชัดเจน, หรือเน้นการจัดการข้อมูลปริมาณมาก คือกลุ่มแรกที่จะได้รับผลกระทบจากการเข้ามาของ AI
- งานโค้ดดิ้งพื้นฐาน (Basic Coding): AI สามารถเขียนโค้ดในฟังก์ชันพื้นฐาน, สร้าง Boilerplate Code, หรือแปลงโค้ดจากภาษาหนึ่งไปอีกภาษาหนึ่งได้ ทำให้นักพัฒนาต้องยกระดับตัวเองไปทำงานที่ซับซ้อนกว่า เช่น การออกแบบสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์ (Software Architecture)
- การทดสอบซอฟต์แวร์ (Software Testing): AI สามารถสร้างและรันชุดทดสอบ (Test Scripts) เพื่อหาบั๊กเบื้องต้นได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ Tester ต้องหันไปเน้นการทดสอบที่ซับซ้อน เช่น Usability Testing หรือ Security Testing
- ผู้ดูแลระบบระดับเบื้องต้น (Entry-level System Admin): งานเฝ้าระวังระบบ (Monitoring), การแจ้งเตือนเมื่อเกิดปัญหา, หรือการสำรองข้อมูลพื้นฐาน เป็นสิ่งที่ AI สามารถทำได้ดีและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
- เจ้าหน้าที่สนับสนุนด้านเทคนิค (Technical Support L1): การตอบคำถามที่พบบ่อย (FAQ) หรือการแก้ปัญหาเบื้องต้น สามารถใช้ Chatbot ที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาช่วยจัดการได้
อาชีพไอทีที่ยังคง "เป็นที่ต้องการสูง"
ในทางกลับกัน AI ได้สร้างความต้องการในตำแหน่งงานใหม่ๆ และทำให้ตำแหน่งงานที่ต้องใช้ทักษะขั้นสูงมีความสำคัญยิ่งขึ้น
- วิศวกร AI/ML (AI/ML Engineer): คือกลุ่มคนที่สร้างและฝึกฝนโมเดล AI โดยตรง ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงอย่างมาก
- นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist): แม้ AI จะช่วยประมวลผลข้อมูลได้ แต่การตั้งคำถามที่ถูกต้อง, การตีความผลลัพธ์, และการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเพื่อการตัดสินใจทางธุรกิจ ยังคงต้องอาศัยมนุษย์
- ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Specialist): ใช้ AI เป็นเครื่องมือในการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามรูปแบบใหม่ๆ ที่ซับซ้อน
- สถาปนิกโซลูชัน (Solution Architect): ผู้ออกแบบระบบภาพรวมที่ต้องใช้ความเข้าใจทั้งด้านเทคโนโลยีและธุรกิจ ซึ่งเป็นทักษะที่ AI ยังทำไม่ได้
จากผู้กังวลสู่ผู้ประกอบการ: เปลี่ยนวิกฤต AI ให้เป็นโอกาส
แทนที่จะมอง AI ในฐานะคู่แข่ง ลองเปลี่ยนมุมมองและมองมันในฐานะ “คู่หู” ที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างธุรกิจของตัวเอง AI ได้ลดกำแพงในการสร้างธุรกิจเทคโนโลยีลงอย่างมาก ปัจจุบันคนคนเดียวก็สามารถสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีความซับซ้อนได้ด้วยการใช้เครื่องมือ AI ช่วยในการเขียนโค้ด, ออกแบบโลโก้, และทำการตลาด
ก้าวแรกสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจเทคโนโลยี
เมื่อคุณมีไอเดียธุรกิจที่ยอดเยี่ยมซึ่งมี AI เป็นแกนหลักแล้ว ก้าวแรกที่สำคัญที่สุดที่จะเปลี่ยนไอเดียของคุณให้กลายเป็นธุรกิจที่แท้จริงและน่าเชื่อถือ คือการสร้างตัวตนทางกฎหมาย บริการ รับเปิดบริษัทใหม่ คือเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณทำสิ่งนั้นได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง
ทำไมการเปิดบริษัทจึงสำคัญต่อธุรกิจ AI Startup
- สร้างความน่าเชื่อถือ: การมีสถานะเป็น “บริษัทจำกัด” ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า, คู่ค้า, และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “นักลงทุน”
- ปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา: โมเดล AI หรืออัลกอริทึมที่คุณพัฒนาขึ้น ถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีค่า การจดทะเบียนบริษัทจะช่วยปกป้องสิทธิ์เหล่านี้ได้ดีกว่า
- เตรียมพร้อมสำหรับการระดมทุน: นักลงทุนจะลงทุนในนิติบุคคลเท่านั้น
- ลดความยุ่งยาก: การใช้บริการ รับเปิดบริษัทใหม่ จากผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยจัดการงานเอกสารที่ซับซ้อนทั้งหมด ทำให้คุณสามารถประหยัดเวลาและทุ่มเทสมาธิไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI ของคุณได้อย่างเต็มที่